วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การพัฒนาจิต

การพัฒนาจิต

โดย พระราชสิทธาจารย์ (หลวงปู่ทองใบ ปภัสสโร)

วันที่ 2 พ.ค.58 



ชุมทางแห่งการทำดี ไม่ใช่เป็นชุมทางแห่งการทำชั่ว ชุมทางแห่งการทำความดีมีอยู่เพียงเล็กน้อย ไม่ต้องทั่วโลก ทางหนึ่งที่เราควรคิดดีก็คือจิต ทางสองที่เราควรพูดดีคือวาจา ทางสามที่เราทำดีคือกาย แค่นั้น อย่างอื่นอย่าเอามาเปื้อน มันเลอะ มันเป็นของภูติผีปีศาจไป สายแรกที่เราควรเอามาเป็นบุพภาคว่า ทางจิตของเรานี้มันเป็นหัวหน้า ถ้าทางจิตมันเสียหายแล้วอย่างอื่นอย่าไปถามเลย มันจะเลอะเลือนไปหมด จำเป็นเราต้องให้ความพร้อมที่จิตก่อน จิตพาเกิด จิตพาอยู่ จิตพาเจริญ จิตพาเสื่อม คนเขลาชอบเอาของนอกมาชุมนุม แต่คนงอกงามต้องพูดถึงเรื่องส่วนตัวอันมีจิตเป็นต้น การเปิดทางให้จิต ให้จิตเค้าเดินทาง มันจำเป็น เดี๋ยวนี้พวกเรามันไม่เดินแบบนั้น มันเดินไปตามลม ๆ แล้ง ๆ ไม่มีเนื้อไม่มีตัวอะไร มันจะไปรู้ทางอะไร เพราะไม่รู้จิตเจ้าของ ไม่เห็นจิตเจ้าของ จิตเนี่ยมันไปแช่อยู่กับอาสวะเราก็ไม่รู้ มันไปจมอยู่กับอนุสัยเราก็ไม่เห็น เป็นทาสนิวรณ์แต่เช้าจรดเย็นก็ไม่เห็น ไม่รู้ เมื่อไม่รู้อย่างนี้ ก็เท่ากันกับว่า เธอนั้นเป็นปุถุชนธรรมดา ไม่สามารถจะพัฒนาได้ ยังเป็นหินในภูเขาอยู่ ไม่ถูกแยก เป็นไม้ในป่าอยู่ ไม่ถูกเลือกคัดจัดสรรเลื่อยทำเป็นเหลี่ยมไว้เป็นแผ่นไว้


จิตใดที่ยังไม่ถูกทาง ถ้าเราไม่มาฝึกซ้อมไว้ก่อน จิตนั้นแหละไอ้ตัวจัญไรที่จะมาสร้่างภัยให้จิต พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก ไม่ได้พึ่งพิงความเขลาอันเป็นทางผิด แม้การคิดการทำ คือไม่เชื่อน้ำยาคนและสัตว์ซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ เกิดก่อนร้อยล้านปีก็ชั่งหัวมัน ไม่เกี่ยวกัน เพราะพระองค์เป็นผู้ฝึกจิต การฝึกจิต การครองจิต การคุ้มครองจิตเนี่ย ถ้าหากเรามาพัฒนาอันนี้ก่อนอะไรจะเกิดขึ้นไม่มี นอกจากความถูกต้องและความเจริญ ผลออกมาก็คือ มรรคกับผลเท่านั้น ไม่ใช่เอากายเอาวาจามาตรัสรู้ นอกจากคนเขลาหมกอยู่เท่านั้น ทางโลกเขาสร้างจนไม่มีแผ่นดินที่จะวางลงไป มันมีแต่ทาง แต่ส่วนใหญ่เป็นทางโลก มันเป็นทางอิฐหินดินปูน มันไม่ใช่เป็นทางที่เราพึงต้องการ ทางที่เราต้องการมันต้องเหนือนั้น มันต้องเบากว่านั้น แน่นกว่านั้น ถูกต้องกว่านั้น ไม่ใช่ให้คนสัตว์สังขารมาเดินผ่าน เพราะจิตของเรามีคุณค่ากว่านั้น ดีกว่านั้น วิเศษกว่านั้น ทางสายแรกเนี่ย ที่เราจะเอามาเป็นบรรทัดฐานเนี่ย ต้องดู ถ้าไม่ดูมันไม่เห็น ถ้าไม่ฟังมันไม่เย็น ดูจนเห็น ฟังจนมันได้ยินนะ ไม่ใช่จิตมันไม่มีเสียงไม่มีรูป มันมี เต้นตลอดเวลา จิตเต้นก็ไม่ได้สงบเด๊ะ มันก็เต้น ตึ๊ก ตึ๊กอยู่ ดังยิ่งกว่าเสียงนาฬิกา ขณะที่จิตเต้นอยู่นี้ มันก็มีตัวรองรับอยู่ คือรู้ การลงมือปฏิบัติการทางจิตเนี่ย มันไม่เหมือนเดินทางกายกับวาจาที่โลกเขาสั่งกันอยู่สอนกันอยู่ ไม่ต้องไปดายหญ้ามากลบขี้หมูขี้หมา โลกนี้น่ะ โลกนี้น่ะ หรือโลกอื่น มันก็ยังพึ่งจิตอยู่


แม้จอมปราชญ์พุทธศาสดาพระองค์ยังประท้วงกับโลกว่า ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ ถ้ามนุษย์ไม่ฝึกจิตให้มันดีกว่ากิเลสแล้วล่ะ คุณอะไรล่ะ คุณจะดีกว่านั้น ไม่มี กำลังกายมีมากมาย กำลังวาจามีเยอะแยะ แต่คุณขาดจิตดวงเดียวมันจะเหมือนกับกระดาษทิชชู่ที่ทิ้งลงน้ำหมดรสชาติ ไม่มีอะไรจะตอบสนองเลยนอกจากความหายนะคือเสื่อมไปเท่านั้น เราจะเปิดให้รับทราบว่า จิตของเราเนี่ย มันมีขอบเขตที่เราควรจะฝึกเขาอยู่ ไม่ใช่ปล่อยให้เขาไปตามธรรมชาติอันเป็นโมหะ อันเป็นโทสะ อันเป็นโลภะตามความเขลาของเขา จิตมันมีปกติไม่มีเขลาหรอก มันฉลาด เรียกว่ามันผ่องใส มันหมดจด ที่มันงมงายเพราะกิเลสต่างหาก เราจะเปิดทางจิตให้รับรู้ มาฝึกจิตให้มันเป็นมนุษย์ อย่าให้มันเป็นสัตว์


การฝึกจิต พระศาสดาทรงวางหลักไว้ให้เราได้ปฏิบัติในเสขะปฏิปทา เสขะปฏิปทาเริ่มตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่ได้เริ่มจากปุถุชน พระโสดาบันฝึกจิตดวงแรกต้องคลายน็อต ต้องคลาย คลายน็อตก่อน น็อตตัวต้นที่พระโสดาบันคลายออกจากความเห็นผิดได้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ต้องมาทำจิตให้มันเห็นถูกก่อน เพราะมันเห็นผิดมาย่อยยับละ หลายตระกูลหลายชาติหลายภพแล้ว ไม่มีใครไปแจงให้มันเห็นถูกเลย แล้วก็คอยตำหนิกัน คอยเกลียดคอยโกรธกันอยู่แค่นั้น ไม่มีอย่างอื่นได้ยิ่งใหญ่กว่านั้นเลย นอกจากนั้นก็ ไม่มีผู้ฆ่าก็ฆ่าเจ้าของเอง ตายเอง พระพุทธเจ้าผู้เคยฝึกสำเร็จมาแล้ว เรียกว่าตรัสรู้เนี่ย ครั้งแรกท่านก็เป็นพระโสดาบัน แรก ๆ ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ จิตที่เป็นปุถุชนอยู่ จิตเป็นปุถุชนมีอำนาจอยู่แค่สองอย่าง ไม่มาก มีแค่สองอย่าง คือเกิดกับดับ เขามีหน้าที่แค่นั้น ใครจะบัญญัติอะไรไม่เกี่ยว มันมีแค่นั้น ถ้าเกิดขึ้นก็ดับลง ถ้าไม่เกิดไม่ดับก็ไม่ใช่จิต มันเป็นเรื่องอื่น มีสองอย่าง ทีนี้ขณะที่เราจะมาฝึกจิตที่มันเกิดขึ้นที่มันดับลงเนี่ย ให้มันฉลาดตามเป็นจริง พระพุทธเจ้าจึงได้ยกอุเทสก์ขึ้นมา ยกเป็นอุเทสก์ขึ้นมา ให้เราสังวรศึกษาเป็นเสขะปฏิปทา


ประการแรก ถ้าเราจะพูดเข้าไปหนักแน่นถึงแก่นแท้มันไม่ได้ เพราะปัญญาชุมชมมันยังเขิน มันยังตื้น ยังเขิน ยังขาดแคลนความรู้ ไม่มีความรู้ใดที่จะมาส่งเสริมให้จิตมันเห็นถูกตามที่มันมีอยู่ เขาเรียกว่า เก้อเขินหรือขาดแคลน ยังเป็นคนจนที่สุดคือจิตโง่ ความจนที่แต่งจิตเลยเป็นเหตุให้เห็นผิด จิตพอเห็นผิดแล้วมันก็เสพ พอมันเสพเห็นผิด ฤทธิ์ของความเห็นผิดก็ให้ผล โลภะไม่มีในใจ อันเป็นตัณหาราคะไม่มีในใจ เราไปคิดเอาไปตรึกตรองเอามันเลยมี ฝ่ามือนี่เอาอะไรมาใส่ อันนั้นแหละที่มันจะเป็นอยู่ในฝ่ามือ สมมุติว่าก้อนเพชรพลอยเอามาไว้ มันก็เป็นเพชรพลอย แต่ถ้าเราเอาอุจจาระปัสสาวะมาไว้มันก็เป็นอุจจาระปัสสาวะอยู่ในฝ่ามือ จิตเหมือนกันเราต้องแบ่งสัดส่วนกันให้เข้าใจและถูกต้อง ถ้ามิเช่นนั้นเราจะมาฝึกโด่ ๆ เด่ ๆ เอาแต่รูปแบบวิธีมาเลือกอย่ามาทำอยู่ที่นี้เลย มันไม่ใช่หน้าที่ ต้องไปหาสถาบันเขาเรียนงม ๆ งาย ๆ ไป บริโภคกามไป เพราะที่นี่เขาข้ามวัฏฏะภพละ พอเราได้เปิดชุมนุมทางจิตให้มารู้จิตก่อน ธรรมชาติของจิตเนี่ย เขามีแค่นั้นคือเกิดกับดับ อย่าไปยัดเยียดให้เขาเลย คุณยัดโลภะเข้าไปมันก็เป็นเปรต คุณยัดโทสะเข้าไปก็เป็นสัตว์นรก คุณยัดโมหะเข้าไปก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน คุณถือตัว ไม่มีตัวตน กูไปถือมีตัวตนคุณก็เป็นอสูร เป็นอบายที่อยู่กับใจไม่ใช่เหรอ คุณเรียกเขามา เขาเลยมาทำงานช่วยให้จิตคุณซวย เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเนี่ย จิตเลยซวย


เมื่อรู้ประตูแรกอย่างนี้ เราก็ตัดกระแสไป อย่าไปเดินทางมันเลย ทางต่ำเนี่ยให้หยุด ถ้าไม่หยุดทางต่ำ คุณจะนำสายสูงได้ยังไง สายสูงให้นำ สายต่ำให้หยุด มานี้ต้องมาหยุดสายต่ำก่อน มีอยู่แค่สามสาย สายแรก กามาวจร สายสอง รูปาวจร สายสาม อรูปาวจร ที่จิตสัตว์มันไปแค่นั้น ไม่ยิ่งใหญ่กว่านี้ มันไม่ต้องมีปีกมีหางเหมือนนก ไม่มีพลังเหมือนกับปลาในน้ำ แต่มันไปเร็วกว่านั้น ไปยิ่งใหญ่กว่านั้น ความเร็วของจิตนี้ไม่มีข้อเปรียบเทียบ นั่งอยู่นี้เรานึกไปถึงขอบโลกก็ได้ ไกลกันหลายสิบกิโลวัตต์ แต่เรานึกครั้งเดียวไปถึง ความเร็วของจิตไม่มีข้อเปรียบเทียบ มันไว มันละเอียด มันไม่หยาบ ที่มันหยาบมันเป็นกิเลส พอเรามารู้อย่างนี้แล้วเนี่ย ถ้าเราไม่หยุดสายต่ำ ท่านก็จะนำสายต่ำไปเรื่อย ๆ กิริยาของทางสายต่ำมันก็มีแค่นั้นแหละ ไปหลงใหลในกามาวจร หลงใหลในรูป หลงใหลในอรูปแค่นั้น ไอ้ความหลงใหลก็ไม่ใช่ใจเด๋ มันเป็นกิเลส จิตไม่ได้หลง แต่กิเลสมันมาดึงไป เขาเรียกว่า กิเลสมันฉลาด มันฉลาดมาลวงจิต มาหลอกจิต มาล้อจิต ทำให้จิตติดบ่วงไป ก็เป็นทาสเขาไป แต่ตรงกันข้าม ถ้าจิตเรามาฝึกแบบฉลาด เรียกว่ายกจิตขึ้น สายต่ำเราหยุดแต่มายกจิตขึ้น เริ่มให้ตั้งแต่วันนี้ไป จิตของเรามันยกขึ้นได้ มันยกขึ้นได้ แล้วมันก็เหยียบลงได้ ยกขึ้นเหยียบลงก็ได้ การยกจิตนี้แหละ อธิจิตเต จะอาโยโค เนี่ย การยกจิตขึ้นมาออกจากอบาย ขึ้นมาสู่ทางนโยบายหรืออุบายเนี่ย จำเป็น อุบายของจิตที่เราควรจะมาศึกษากันในเสขะปฏิปทา คือปฏิปทาที่เข้าไปสู่ความเป็นเสขะบุคคล ไม่ใช่ไปเป็นปุถุชน เรายกจิตขึ้นมาดวงแรก พระพุทธเจ้าใช้คำว่า สมถะ สมถะคุณต้องสลัดสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์กับสมถะ เพราะสมถะแปลว่าสงบ ส่วนสิ่งที่ไม่ใช่สมถะแปลว่าวุ่น อะไรเป็นเครื่องวุ่นกับสมถะคือ นิวรณ์ มันเป็นเครื่องวุ่น ส่วนสมถะแปลว่าสลัดนิวรณ์จึงนิ่งสงบ


ประตูที่สอง เรายกจิตขึ้นมาสู่ปัญญา
อันเป็นวิปัสสนา เผื่อทำลายอวิชชา ทั้งสองประการเนี่ย นี้แหละวิธียกจิตขึ้นมา ถ้าจิตเราสงบ เราก็พบ พบความสงัด ถ้าจิตเราสว่าง เราก็พบทางอันถูกต้องอันเป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นเสขะปฏิปทาครั้งแรก ไม่อยากให้พวกเราไปเรียนแบบอมนิ้วเหมือนเด็กอนุบาล พากันเรียนมาจนผมหงอกผมหล่นแล้ว สอนคนก็ได้ แต่ก็สอนตนไม่ได้ เพราะเราไปตกเป็นทาสของอบาย สอนผู้อื่นได้ แต่สอนตนไม่ได้ เมื่อเราสอนตนไม่ได้ จะให้ตนพ้นออกจากอบายได้ยังไง ไอ้ความรู้ของเราเนี่ยมันไม่ใช่ความรู้ที่พ้นอบาย มันเป็นความรู้วายร้ายวายโหด เมื่อเราไม่ยกจิตออกจากอบายแล้ว เราจะมาโอดครวญว่าเจ้าของไม่บรรลุยังไง ไม่สำเร็จอะไร เพราะเธอไม่ยกจิตออกมาจากสิ่งที่เธอจะสำเร็จ ไม่มีอะไรจะไปห้ำหั่นตัดรอนได้ เธอเองเป็นคนเนรคุณจิตเจ้าของอันงดงามให้ไปอยู่กับคนถ่อย กิเลสทั้งปวงเขาเรียกว่า ถ่อย ไม่มีรสชาติอะไรที่จะพาให้เราเจริญ ตั้งแต่เทพ พรหม ถ้าพวกท่านไม่สามารถที่จะยกจิตออกจากพวกนี้ก็ถ่อยไปเหมือนกัน 


ความสันทัดของจิตถ้ามันไปติดความชั่วนี่มันแกะยาก มันแก้ยาก แกะยาก คำว่า กิเลโส อาคันทุกะโม นี่ สิ่งที่จรมาหาจิตเขาเรียกว่ากิเลสเนี่ย มันเป็น เป็นมหาโจร เป็นคนถ่อย เราเชิญมา มันเป็นไม่ใช่มิตร ไม่ใช่มิตร เขาเรียกว่ามันเป็นแขก พวกเราเชิญขึ้นบ้านเท่าไหร่เขาก็มาแค่นั้น ไม่ใช่เขามาพักกับเธอนะ พอเชิญเขาขึ้นมา เขารับรู้รับเรื่องแล้วเขาก็เฉือนเชือด เดี๋ยวเขากลับไป กลับไปไหน ไปที่เดิมคือมืด ไปที่เดิมคือมืด กิเลสแปลว่ามืด สิ้นกิเลสแปลว่าสว่าง พอจิตมาพักอยู่กับความสงบความสว่างที่เราจะพากันปฏิบัติแบบชัดเจนเนี่ย อันเป็นทางที่ถูกต้องเนี่ย ทางถูกต้องอันเป็นเสขะปฏิปทา ลงมือปฏิบัติครั้งใดรู้สึกว่า มันเป็นธรรมโอสถ มันเป็นธรรมโอสถ ทำให้ผู้ถูกบริโภคแล้วเนี่ยได้รับผลประโยชน์ทันตา ไม่ต้องรอวันเวลา ขอให้มันผ่านลิ้นเข้าไป ไปถึงใจ มันจะแผ่รสชาติออกล้างอาถรรพ์ของความมืด สว่างเหมือนกับติดไฟเป็นหลอด ๆ เป็นเทียนก็จุดเป็นเล่ม ๆ ไป มันจะกำจัดความมืด ถ้าเราสามารถเปลี่ยนระบบได้อย่างนี้น่ะ จิตของเราเริ่มจะมีที่พึ่ง สิ่งที่เราพึ่งมาแต่ก่อนมันพึ่งไม่ได้ เพราะโลภะจะไปพึ่งเปรตไม่ได้ โทสะพึ่งสัตว์นรก โมหะพึ่งสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าของซวย เราไปพึ่งมันก็พาเราซวย ของเซ่อ เราไปพึ่งก็เซ่อ ของเศร้าเราไปพึ่งก็เศร้า ของเน่าเราไปถึงมันก็เหม็น สภาพจิตเราไปเสพอยู่ในของบูดของเน่าของเศร้าของหมอง คุณจะมาพูดกันอะไรทำไมข้าพเจ้าจึงไม่รู้ไม่เห็นอันนั้นนี้ ก็คุณไปอยู่ในทางเสื่อมคุณจะเจริญได้ยังไง 


เหมือนกับคนหนึ่งตกน้ำ คนหนึ่งอยู่บนน้ำเนี่ย มันคนละคน จิตเหมือนกัน ที่นำมาเนี่ย แกะ มาแกะ มาแกะข้อผิด แล้วเอาข้อถูกไปแปะไว้เนี่ย ยังไม่พูดถึงสติปัญญา อันนั้นมันเรื่องเพ้อเจ้อ จิตเขาจะมีสติปัญญาเมื่อยกเขาออกจากข้อวุ่นวาย วุ่นวายมืดตี๊บน่ะ ยกจิตออกมาได้เขาฉลาดเอง เขาว่าฉลาดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องฉลาดแบบไปหาเรียนอันเกิดมาจากรับเวทนา สัญญาจำ คิดสังขาร รับวิญญาณ ไม่ใช่ พระศาสดาของเราพุทธศาสดา_ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง เมื่อเราเปิด เราแกะ เราเลิกความผิดอันเกิดมาจากกิเลสได้แล้วเนี่ย มันก็มีคู่เดียว คือสงบแล้วก็มันก็ต้องสว่าง ทีนี้เราจะไปเชิญใครมาเป็นเจ้าภาพเนี่ย ไม่มี เพราะว่าความสงบมันเป็นทาง สว่างมันเห็นทาง เราก็เดินได้ที่ สงบมันเป็นทาง สว่างมันเห็นทาง ถ้าเราเดินไปตามจิตสงบ ตัวสงบนั้นมันเป็นตัวสติ ตัวสว่างมันเป็นตัวปัญญา คุณไม่ต้องเชิญ เขาก็มาทำงานให้แล้ว มันไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ต้องไปศึกษาเป็นปีเป็นเดือน แค่จบเวทีวาทะอันเป็นกัลยาณพจน์ลง ถ้าคุณรู้ภาษาของญาณอันเป็นอกุศลอันเป็นอบายแล้ว คุณยกจิตขึ้นมาสู่กุศลอันเป็นหนทางที่เบิกทางความสงบกับสว่างมันก็จบรายการ แล้วคุณไปก่อกวนจิตเจ้าของ คุณก็โง่เหมือนเดิมนั่นแหละ ถ้ามีความเห็นผิดอยู่ มันไม่ใช่เสขะปฏิปทา มันก็เป็นปุถุชนเหมือนเดิม เป็นสัตว์เหมือนเดิม ผลสุดท้ายมันเป็นสัตว์ไม่พอ มันกลายเป็นผู้ก่อกวน ผู้สร้างบาปให้จิตด้วย เราคงเคยเห็นว่า ชีวิตกับเมตตา ทำไมเขาจึงฆ่า เพราะเขาไม่มีเมตตา ทำไมพระอริยะจึงไม่ฆ่า เพราะท่านมีเมตตา ชีวิตที่ขาดเมตตาต้องตาย ถ้าชีวิตมีเมตตาค้ำจุน ชีวิตจะมีคุณค่า สงบ 


นี่การให้บุพภาคในการเปิดดวงใจไขดวงตา อย่ามาโต๋ ๆ เต๋ ๆ ตั้งแต่ กำหนดนั้นกำหนดนี้นะ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้กำหนด แต่พระองค์ทรงสอนให้คลายกำหนัด ถ้าเราคลายกำหนัดได้ นั้นแหละไอ้ตัวการที่ชนะ ตัวชนะนั่นแปลว่ากำหนด เป็นปริญญา แต่คุณต้องคลายกำหนัดก่อนนะ เพราะตัวกำหนัดนั่นเป็นตัวจัญไร เป็นตัวทำให้ใจตกเป็นทาส ทีนี้พวกเรามาปฏิบัติเนี่ย โต๋ ๆ เต๋ ๆ เนี่ย ทำไมจึงไม่สำเร็จ มันจะสำเร็จอะไรเพราะคุณตกอบายอยู่แล้ว คุณไม่ยกจิตขึ้นมาสู่สบายอันเป็นความสงบ กายะวิเวโก จิตตะวิเวโก อุปธิวิเวโกเนี่ย เราไม่ยกจิตขึ้นมาสู่วิเวก สู่ความว่าง คุณจะไปถามหาทางสุขสงบได้ยังไง จิตนี่มันเกิดดับ ถึงพวกท่านจะมาขัดแย้งไรก็ตาม มันมีแค่นั้น รู้ทันเนี่ยเป็นสติ รู้ตัดเป็นปัญญาเนี่ย รู้ช้า ๆ สะอาดเรียกว่าญาณ รู้รอบทวารทั้งหมดเรียกว่าวิชชาเนี่ย ไม่ได้เป็นบ้า พอรู้กันอย่างนี้แล้ว ตรงนี้แหละเราจะให้สร้างสัญญา ให้สร้างสัญญาขึ้นมาจำว่าจิตมันมีแค่เกิดดับ มันเกิดดับ สองอย่าง เกิดดับกับอวิชชาคุณก็มืด ถ้าเกิดดับกับวิชชาคุณก็สว่าง คุณไม่ต้องไปแปลหรอก แปลอะไรก็ตาม ปรุงอะไรก็ตาม จิตเขาเกิดดับแค่นั้น จะไปทำสมมุติอะไรก็ตาม มันแค่นั้น เราจะมองเห็นจุดเด่นอย่างนี้ได้ตรงที่เรายอมรับว่าจิตนี่เป็นของฝึกได้ ลูกศรที่คดโค้งสามารถเอามาดัดแปลงให้มันตรง จิตใดที่กวัดแกว่ง ดิ้นรน สามารถฝึกให้ตรงได้ 



ในโลกนี้ที่ไหนมันฝึกจิต ไม่มี นอกจากพระพุทธศาสดาพระองค์เดียวเท่านั้น นอกจากนั้นมีแต่มันรีดไถจิตให้ไปรับใช้ฉันทะราคะ กามฉันทะแค่นั้น สิ่งที่มันประทับใจอยู่ อย่างอื่นมันจะไม่ปล่อยวาง ลองศึกษาซิ จิตนี่มันไม่เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่เด๊ะ มันไม่โง่ไม่ฉลาด มันไม่มีตัวตนขนาดนั้น หัวใจทุกท่านเป็นหทัยเฉย ๆ แต่ว่าจิตมันไม่แก่ไม่หนุ่มไม่เกิดไม่ตาย มันอยู่เช่นนั้น อั่นหัวใจที่เราเท่ากำปั้นอันนั้นมันเป็นหทัยวัตถุ เขาเรียกว่าที่พักของความรู้ชั่วคราว แล้วเขาก็จากไป ไม่มีแท่นไหน เรือนไหน ปราสาทไหนเขาจะเสวยอยู่เกินเกิดดับ ไม่มี คุณจะทำดีร้อยชั้นพันชั้นก็ตาม เขาก็รับรู้แค่นั้น เกิดกับดับ เขาก็กลับไป กลับไปสู่ที่ว่างเหมือนเดิม ถ้าพวกเราต้องการจะตรัสรู้ในเสขะปฏิปทา ให้เห็นถูกต้องแบบนี้ สุขทุกข์หายไปหมด ดีชั่วจบกันลง เราจะไม่มองหน้ากันเหมือนกับสัตว์ เราจะไม่มองใจกันเหมือนกับสัตว์นรก ไม่ร้อนเร่า แต่จงจำให้ดี ๆ ใช้ภาษาจำก่อน เพราะครั้งแรกถ้าไม่จำมันไม่แจ่มแจ้งในภาษิตของพระพุทธเจ้าว่า สัญญามันเป็นเครื่องประกาศ เป็นเครื่องประกาศทุกสิ่งทุกอย่าง โลกเขาจึงเอามาใช้สัญญา เขาไม่เอาเวทนา เขาไม่เอาสังขาร เขาไม่เอาวิญญาณ แต่เขาเอาสัญญามาทำกัน ทำอะไรก็ต้องมีสัญญากัน 


จิตก็เหมือนกัน ในสุดสัตตาวาส ๙ สัตตาวาส ๙ วิญญาณฐิติจิตเนี่ย เขาใช้สัญญา ถ้าจิตไม่จำ รับก็ไม่ ไม่ถูกต้อง เลอะเลือน คิดก็ไม่ถูกต้อง เลอะเลือน รู้ก็ไม่ถูกต้อง เลอะเลือน เราจงจำ สัญญาตัวที่จำนี้ ต้องเป็น สัญญากับสัมปชัญญะ ต้องอยู่กับความรู้ตัว เมื่อสติเป็นผู้มอง สัญญาเป็นผู้จำ สัมปชัญญะเป็นผู้รู้น่ะ สตินี้อย่าไปพูดเรื่องพรรณนาเขา เพราะเขาเป็นเจ้าจิตอยู่แล้ว จุดปั๊บขึ้นมา จิตเขาจะเป็นเจ้ากับจิต เอ้อสติน่ะ ใคร่จะให้ชาวพุทธเราน่ะ มีความรู้สึกกับสติใหม่ เพราะสติเขาเป็นเจ้าบ้าน เป็นแม่บ้าน สัมปชัญญะเป็นพ่อบ้าน ส่วนสัญญาเป็นลูกบ้าน ถ้าพูดตามพฤตินัยของจิต แม่บ้านคือสติ พ่อบ้านคือสัมปชัญญะ ลูกบ้านคือสัญญา เราจึงเอาลูกพี่ลูกน้องมาทำสัญญากันเพื่ออยู่ร่วมกันให้มันมีความผาสุก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอนนอกจากสัญญา 


แต่จงทำความรู้สึกนะ สัพเพ สังขารา ขึ้นชื่อว่าสังขารทั้งปวง ไม่มีอะไรจะไปจำมันได้ เราต้องเข้าใจอีก ตัวสัญญาจำนี้ต้องจำแบบมีสติ มีสัมปชัญญะแค่นั้น อย่าไปหลงใหลในสัญญา เพราะสัญญานั้นเพียงแค่จำไม่มีสิทธิอันใด ฟังให้มันรู้เรื่องก่อน อย่ามาถกเถียงกันให้มันเป็นฟอร์มของโมหะ การถกเถียงกันมันเป็นพฤตินัยของโมหะ พอโมหะที่ไหนก็ราคะที่นั่น ราคะที่ไหน โทสะที่นั่น มันจะมาบอมบ์เรา สิ่งที่ให้จำเนี่ย ภาษาบาลีเขาเรียกว่า อภิสัญชาตญาณ อภิสัญชาตญาณคือจำแบบรู้แจ้ง จำแบบรู้แจ้ง กถาภิญญาณโต แปลว่า รู้แจ้ง สติรู้แจ้ง สัมปชัญญะเห็นแจ้ง ต้องจำแบบนี้ อย่าไปจำลวก ๆ มันจะเกิดกามสัญญา ถ้าเกิดกามสัญญามาก่อกวนเนี่ย เราก็ตกเป็นทาส เราก็ไปเสพกันแต่สัญญาอยู่ในกามโลกีย์ ผลสุดท้ายกายใจก็เลยตกเป็นทาสไป ไม่มีอิสรภาพ อันนี้คือบทจำ เราจะรู้ได้ยังไง เห็นได้ยังไง เอ๊าคุณก็มี สิ่งที่เธอควรจะสำเหนียก สติมันมีกายเวทนาจิตธรรม สัญญาก็มีกายเวทนาจิตธรรม เพราะคุณมีกาย คุณมีวาจา คุณมีจิต สัญญาก็อาศัยอยู่นั้นแหละ ไม่ใช่ที่อื่น มันอยู่ที่นั้น รับจำคิดรู้มันเป็นนามธรรม 


ข้าพเจ้าจะเริ่มสตาร์ทไปคือบุพภาค ไม่ต้องไปขึ้นอะไรมากมาย มันเสียเวลาความรู้ จิตไม่มีภาษา สัญญาไม่มีภาษิต จิตไม่มีภาษา สัญญาไม่มีภาษิต แต่ที่มันเป็นภาษาเพราะเราบัญญัติขึ้น จิตมันเลยเป็นภาษา สัญญาก็เลยเป็นสุภาษิตมากล่าวกันแค่นั้น เมื่อเราเกิด ดับลงก็หายหมดเลย เกิดขึ้นมาใหม่ต้องมาสมมุติบัญญัติจำใหม่กันอีก ไม่มีรสชาติอันใดเลย เมื่อเราต้องการจะเป็นอิสระ แม้ตั้งแต่คำว่าสมมุติบัญญัติมันก็ถูกตราขึ้นมาสมมุติ แม้ปรมัตถ์ก็สมมุติ แต่สมมุติสัจจะกับสมมุติบัญญัติเฉย ๆ ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพราะอยากจะเลิกล้มลัทธิของความเห็นผิด ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิอันเป็นอเสขะปฏิปทา คือปฏิบัติผิดเนี่ย ออกไป ไม่อยากให้ขึ้นมาแผ่พังพานแผ่เชื้อแผ่ราอยู่แถวนี้ มันจะเกิดจัญไรต่อไป ยังไง ๆ พวกเราก็มาสู่สนามที่จะเปลื้องปลดทุกข์ออกจากจิตแล้ว ให้มันรู้กันชัดเจน ทุกข์ที่จะไม่มี จากอยู่ที่จิต ก็เพราะเรามีสติ มีสัมปชัญญะ พร้อมทั้งสัญญาแนบแน่น ระลึกนั่นเป็นสติ รู้นั่นเป็นสัมปชัญญะ จำเป็นสัญญา สมมุติบัญญัติเป็นสังขาร รองรับให้อยู่ไม่เสื่อมไม่สูญนั่นคือเป็นเวทนา รู้งู ๆ ปลา ๆ เป็นวิญญาณ ไม่ใช่ตรัสรู้ 



ทั้งหมดเนี่ย ที่กล่าวมาเนี่ย เพียงแค่บุพภาคแค่นี้แหละ เราเริ่มศึกษาให้เป็นเสขะปฏิปทา แปลว่าศึกษาตามพระเสขะบุคคล อย่าไปศึกษาตามปุถุชน ถ้าเราจะเข้าสู่ พชน.ซึ่งเป็นคอร์สทำให้เราได้ซ่องเสพเสขะปฏิปทา นับแต่พระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอนาคามี เขาเรียกว่า เสขะปฏิปทา ไม่ต้องเป็นปุถุชนมาเสพทุกข์เลย ไม่ต้องมาอ้อนวอนขอร้องอะไรจากพระคุณเจ้าเลย เพราะเรารู้ภาษากันอยู่แล้ว จิตเนี่ยมันสมมุติ มันสมมุติ สมมุติขึ้นมา สัญญาก็จำไว้แค่นั้น สังขารก็ปรุงไป ไปรับเป็นเวทนา ไปรู้เป็นสัญญา คุณต้องตีแผ่ของเลว ๆ นี้ออก มิเช่นนั้นมันจะเป็นอัตตานียา เป็นอหังการมมังการแบบตายผ่อนส่ง ที่เราจมอยู่ในวัฏฏสงสาร จนกระดูกกองเท่าภูเขา ก็บูด ๆ เน่า ๆ เหมือนเดิม วันไหนคืนไหนที่รู้ไม่มีเลย มีแต่วันมืดวันจม ขณะไหนก็มีแต่อวิชชา ขนาดไหนก็มีแต่อาสวะ ขณะไหนก็มีแต่ตัณหา ไม่มีใครคิดที่เลิกร้างระบบลัทธินั้นเลย เมื่อพระพุทธเจ้าไม่มาเปิดดวงใจไขดวงตาให้แล้ว โลกนี้จะเป็นแต่อันตะปุถุชนมืดต่อไป อดีตก็มืดมาถึงอนาคต อนาคตก็มืดย้อนมาถึงปัจจุบัน ปัจจุบันก็ย้อนไปถึงอดีต เลยวนกันอยู่เป็นกรรมกิเลสวิบาก มันไม่จบ กรรมกิเลสวิบาก กิเลสกรรมวิบากมันเลยไม่จากจิตไป เมื่อเรามาศึกษากันอย่างนี้ตามปกติวิสัยของเสขะปฏิปทาที่จะไม่ข้องแวะอยู่กับกองทุกข์ละ มันจะเข้าใจง่าย 


สมมุติทุกอย่างมันคือจิต สมมุติทุกอย่างคือจิต สมมุติว่ามันเป็นนั้นเป็นนี้ มันต้องเริ่มที่จิต แต่ความจำน่ะมันมอบให้สัญญา สมมุติอะเธอต้องจำนะ สมมุติเธอต้องจำ เมื่อจำแล้วเธออย่าไปปล่อย เธอต้องปรุงให้มันสำเร็จ พอมันปรุงสำเร็จมันก็รู้ เออนี่ถูก เออนี่ผิด มันเป็นเช่นนั้น แล้วไม่ต้องไปขอร้องใครเลย หน้าที่ของจิตเขามีอย่างนี้ ถ้าหากเรารับรู้กันแล้วเนี่ย ท่านอย่ามา มาขอร้องกำหนด มาขอร้องประพฤติ เอาความรู้ที่ตรัสรู้น่ะมาใช้กัน พระพุทธเจ้าท่านจะเรียกว่า นี้แหละลูกของเรา ลูกของเราเป็นผู้รู้ เป็นสาวกผู้ฟัง เป็นลูกของเรา ถ้าสาวกไม่ฟังจะเรียกว่าเป็นลูกของศาสดาไม่ได้ ให้มันจืด จืดจากความวุ่นวาย ให้หมดสิ้นไปจากความมืด พูดภาษาต่อกันก็เรียกว่า มันหมดในทางมืด มันจืดในทางเมา 



จิตเนี่ย เป็นสิ่งที่เหลือ..ไม่เหลือ ไม่เหลือไม่ใช่เป็นเรื่องเหลือวิสัย เมื่อเรายังไม่เป็นซากศพ เราไม่เป็นเหลือวิสัย เพราะเรามีลมหายใจเข้าออกอยู่ เราต้องรู้ แต่เราจะมีเจตนาที่จะประพฤติตามพระพุทธเจ้าพระอริยเจ้าไหมแค่นั้น ถ้ามีเจตนา มีปัญญา มีความเพียร มีสมาธิ มีสติดีแล้ว แน่นอนท่านต้องสำเร็จประโยชน์ ไม่ช้า ขนาดจบไวพจน์ลงเนี่ย ถ้าเรามีสติตาม ปัญญาต่อแล้ว เราก็ตัดกระแส ๆ ไป ไม่ข้องคา ไม่สร้างปัญหาอันเป็นโมหะเลย เราจะสลัดไป เหมือนกับเราทำความสะอาด ถูไถไปมันสะอาดไปเอง การฟังจบลงเนี่ย ก็เหมือนกัน คุณอย่าเอาระบบการฟังของโลกผู้อยู่ในกามโลกีย์มาใช้ อันนั้นมันไม่มีที่สิ้นสุดเพราะมันมีสมมุติบัญญัติ เราพูดนี่เรามีวิมุติกับการบรรลุจากสมมุติบัญญัติ เราไม่ข้องแวะอยู่ให้มันเนิ่นช้า ถ้าเราฟังเป็นเนี่ย ข้อต้นเกิดขึ้นมา จิตของเราเย็น เบา รู้ภาษาเนี่ย ภาษาสมมุติภาษาบัญญัติมันจะเย็นเบา แต่ถ้าเราไปติดภาษาสมมุติบัญญัติแล้วจะหนักอึ้งเลย ปวดหัว อย่างที่พวกเราพูดกัน ปวดหัว เพราะจำได้ว่าใช่ อย่างนี้คุณไม่ตาย มันแค่ปวดหัวยังดี สมมุติมันเป็นสิ่งกวัดแกว่ง ตาหูจมูกลิ้นกายใจถ้าไปติดสมมุติแล้วมันจะกวัดแกว่ง แต่ถ้าเราเข้าสู่วิมุติแล้วมันจะไม่กวัดแกว่ง มันจะนิ่ง ความนิ่งเราจำไว้เลยกลายเป็นน่าอัศจรรย์ เพราะความนิ่งทำให้เป็นพรหมจรรย์ ชาติจะจบ ภพจะสิ้นได้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพุทธศาสดาจึงว่า นิ่งอย่างอริยะสิเธอ ตรัสไว้เลย อย่าไปวิ่งตามของเน่าเลย สมมุติคุณก็รู้ชัด บัญญัติคุณก็รู้จริงน่ะ นี่คือข้อเริ่มต้นที่เริ่มจะลงมือปฏิบัติกัน 


คุณต้องเอาชุมทางข้อต้น คือจิตก่อน ส่วนกายกับวาจามันเป็นของแถม ถ้าจิตไม่มาเกิด กายวาจาหายไปเลย เหมือนกับที่นี่แหละน่ะ ถ้าเราไม่มีจิตปรารถนาการมาสร้างขึ้นคุณก็ไม่เห็น ไม่เห็นอะไรสักอย่างเลย ก็เวิ้งว้างเหมือนเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตเราสมมุติอะไรขึ้นมาอันนั้นต้องปรากฏการ จิตที่จำอันใดอันนั้นย่อมเป็นสันดานของท่าน ฟังแล้วจด ได้ยินแล้ววาง จะหมดปัญหาความหนักอึ้งของจิตเลย เสียงปรบมือในกลางหัวใจด้วยความชำนาญว่า ปลื้มใจ จิตเขาจะปรบมือเขาปลื้มใจ เขาว่าเขารู้ทางสว่าง เห็นทางสงบตามจริงแล้ว เขาจะไม่เป็นทาสของรูปหญิงรูปชายที่เป็นสมมุติกัน บัญญัติกัน เป็นนั่นเป็นนี่ หญิงก็หายชายก็สิ้น มลทินที่มาก่อกวนให้วิปลาสตามวิญญาณก็หมดไป ผลสุดท้ายการทดแทน ตอบสนองจิต เพราะการเอาชนะสมมุติบัญญัติแล้วเนี่ย สัญญาแล้วเนี่ย จิตดวงนี้พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาของเรา เรียกว่าพุทธศาสดา พระองค์ท่านจึงกล่าวว่า สาวกของตถาคตเป็นเช่นนี้แหละ ผู้ฟังจนบรรลุ ผู้ฟังจนหลุดพ้นแบบนี้แหละ จะไม่เป็นสาวกที่เฉื่อยชา เนิ่นช้า เป็นอังคณะ ฟังแล้วได้ยินแล้วจบลง พร้อมทั้งสลัดสิ่งที่เคยเกาะกุมอันเป็นกิเลส สิ่งที่เคยหน่วงเหนี่ยวอันเป็นนั่นเป็นนี่ไป 



ข้าพเจ้าที่กล่าวนี่ มันยังไม่มีเปอร์เซ็นต์ น้อยนิด นิดหน่อย รู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ พูดไม่ได้ เพราะมันว่าง มันวางแล้วพูดไม่ได้ สิ่งไหนจบแล้ว จะพูดมันไม่ได้ มันจบแล้ว แต่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายทำไมจึงมากล่าว สิ่งที่กล่าวมันเป็นสมมุติและบัญญัติให้พวกเราเป็นผู้ปฏิบัติตาม สมมุติให้มันตัด บัญญัติให้มันทิ้งเนี่ย ผู้หญิงเกเร ผู้ชายโกโร มันจะจบลงไป เกเร โกโร ก้อกรอก แก้กแรก มันจะจบไป คือจิตมันไม่ก้อกรอกแก้กแรก มันกิเลสต่างหาก ผู้ใดไปเสวยกำไรอยู่ในเสขะปฏิปทานิ่ง เพราะฉะนั้นผู้อยู่ในวัดนาหลวงถ้าเป็นผู้เสวยอยู่ในเสขะปฏิปทาอันเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระอริยเจ้าแล้ว เขาจะไม่วอกแวก ยืนก็ไม่เพลิน เดินก็ระวัง นั่งก็สังวร นอนก็สำรวม เขาจะไม่ตกเป็นทาสความเพลิดเพลินตามผู้บริโภคกิเลสเลย เป็นอิสรภาพที่สุด กินน้อยดับพิษ กินนิดดับภัย ปิดปากไว้สิ้นทุกข์ โลกนี้มีแค่นี้ นี่คือความรู้สึกไว้ อย่าพาเอากองกระดูกนี้ไปแลก ไปแลกความเลวระยำจากราคะโทสะโมหะมาครอบงำจิตเลย ถือว่ารู้ทุกอย่าง วางทุกสิ่ง ให้มันนิ่ง กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวกเนี่ย อย่ามาวิวาทกันเลย อย่ามาวิเคราะห์วิจัยเลย 



ไปเห็นเขาวิเคราะห์พระไตรปิฎก วิเคราะห์ศาสนา โอ๊ย ไอ้ควายเอ๊ย เจ้าของเป็นปุถุชนจะไปวิเคราะห์ของพระพุทธเจ้าได้ยังไง เว้นแต่ตั้งข้อมูลสมมุติบัญญัติเท่านั้น ถึงวิเคราะห์เป็นมันก็คนละวิสัย ที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า หางกระแต ขากระต่าย มันจะไปวิดน้ำมหาสมุทรให้แห้งยังไง ความรู้ปุถุชนมันจนทั้งมุมจนทั้งตรอกเนาะ ขากระต่าย หางกระแต มันจะไปวิดน้ำมหาสมุทรให้แห้งยังไง คุณมาวิเคราะห์ให้โง่ทำไม ทำไมจึงไม่ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงให้เธอปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เธอจะไปพรรณนาให้มันทุกข์ทำไม รู้จริง ๆ มันก็ทิ้งอยาก รู้มากไม่อยากเลย แล้วคุณรู้ไหมล่ะ ท่านเห็นไหมล่ะ มันก็มีบทบาทอยู่เพียงแค่นั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่มาเข้า พชน.เนี่ย เริ่มเปลี่ยนระบบความยุ่งเหยิงอันเกิดมาจากความยึดอยากเอาอวดอ้างออกไป อย่าเอามาเสแสร้งที่นี่เลย เพราะที่นี่เขาปรุแล้ว เขาว่างเขาใสแล้ว อย่าเอามาก่อกวนเลย ไม่มีความรู้ใด ๆ นอกจากความรู้เจ้าของสิ้นเท่านั้น สิ้นทุกข์อะนะ อย่างอื่นไม่เกี่ยวกันเลย งามที่สุดคือจิต เมื่อหลุดพ้นออกจากของสกปรก สะอาดที่สุดคือใจที่มันหายไปจากฟืนไฟ ไม่มีควันที่มารวกรนให้มันดำหมึก พูดอย่างนี้ไม่ใช่พูดเรื่องเหลือวิสัย พูดเรื่องใจของเธอนั่นแหละ ถ้าเธอมีใจเธอก็คงจะรู้ แต่ถ้าเธอไม่มีใจมันก็ไม่รู้ มันก็ไม่เห็น เพราะว่าเธอเอาอัตตาเข้ามาเป็นตัวตน มันเป็นอัตตานิยาทุ่มเทเข้าไป จิตเลยถูกปิดไม่ถูกเปิด เปิดของปิดหงายของคว่ำไม่ได้เพราะพวกนี้มันทุ่มเทอยู่แล้ว 


อัญญาโกญฑัญญะเปิดจิตรับ อัญญาโกญฑัญญะเปิดจิตรับ ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ เอี่ยมอ่องถอดด้ามเลย พอมามีผู้รับรอง คนที่รับรองเลยเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง อัญญาโกญฑัญญะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สองรองจากพระพุทธเจ้า บรรดาในโลกนี้กราบพระพุทธเจ้ากี่ครั้ง ต้องกราบพระอัญญาโกญฑัญญะเท่านั้นเหมือนกัน ไม่ได้ตรัสรู้ พระอัญญาฯ แต่เป็นผู้รู้เป็นสาวก เป็นสาวกคนแรกจากพระศาสดา เขาเรียกว่า ลูกต้น ลูกกก เป็นที่เคารพบูชายำเกรง เบื่อหน่ายกับคนมากราบไหว้ คนอายุ ๑๒๐ ปีเนาะ คนมากราบทั้งวันทั้งคืน นิสีทนะอยู่ข้างหลังพระพุทธเจ้าล่ะนะ เขาไปวางนิสิทนะไว้ปูไว้ เบื่อหน่าย เลยไปอยู่ป่า ให้ช้างอุปัฏฐาก แปดพันเชือกน่ะ ข้าพเจ้าเคยปลื้มใจตรงนี้แหละ ท่านไม่มีกระด้างดื้อ รับธรรมอันยอดเยี่ยม เยี่ยมยอดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาใหม่ ๆ เอี่ยม ๆ เลย ตรัสฯเพ็ญเดือนหก เดือนเจ็ดเดือนแปดก็ไปแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ อัญญาโกญฑัญญะรับคนแรก ผลออกมาก็คือความสิ้นทุกข์เท่านั้น 



แล้วพวกท่านจะมาตะรอน ๆ ขอทานความรู้ความสงบไปเพื่ออะไร อย่ามาขอทานเลย ทานเอง ทุ่มเอง แม้ข้าพเจ้ากล่าวก็เพียงแค่ชี้ทาง ส่วนการเดินทางของท่านเอง เพราะทุกข์สุขเป็นของท่าน ไม่ใช่เป็นของข้า สติปัญญาเป็นของท่านหมด ไม่ใช่เป็นของข้า เพราะสติปัญญานั่นน่ะเขาระลึกรู้ เขาจะไม่หมด แต่หยุดระลึกรู้ เขาก็ดับไป จริงเท็จประการใดถ้าเราไม่มีดังที่กล่าวเนี่ย เป็นที่อาศัยให้นึกคิดอันเป็นลมเนี่ยกายเนี่ย เราก็ไม่เป็นเช่นนี้ เราจะเป็นของว่างของสูญหายแวบไปเลย ไม่มีอะไรอะ ที่เวิ้งว้างเลย แล้วพวกคุณจะมาสร้างเผาขนเจ้าของให้มันทนทุกข์ทรมานอยู่กับทุกข์ทำไม สติน่ะมันตัดตัณหา ปัญญามันตัดอาสวะ ทำไมจึงไม่พากันตัดบ้าง คุณจะมาบูชามันทำไม ข้าพเจ้าได้พระเมตตาเปลี่ยนระบบของจิตให้ ท่านจะมีเจตนาสังวรตาม มีวิรัติตามไหม เผื่อความเป็นเสขะบุคคลในเวลาอันใกล้ ไม่ต้องรอให้เชื้อสายมนุษย์ไหนมาส่งเสริมอีก รู้คำเดียวเท่านั้นที่สิ้นหลง หลงคำเดียวเท่านั้นที่สิ้นรู้ ยังไม่มีครูคนไหนสองอย่างเนี้ย รู้ หลง ถ้ายามใดรู้ เป็นครู ยามใดหลง เป็นคน 


สรุปในท้ายบทแห่งสาวกวัจจนะเนี่ย ที่ข้าพเจ้าอัญเชิญมาเนี่ยเป็นสาวก ไม่ใช่เป็นพุทธวัจจนะ เป็นสาวกวัจจนะ ที่ข้าพเจ้ากล่าวมาเพราะไม่ได้อิงบทบาทอะไรมากมาย สรุปวันนี้น่ะให้เริ่มตั้งหลักซะ เริ่มตั้งหลัก เมื่อข้าพเจ้ากล่าวในวันเปิดน่ะ พี่น้องก็ออกจากคอกมาเลย พากันมารอคอยซอมซ่ออยู่ใกล้ ๆ ประตู อย่าเป็นงัวก้นคอกให้ขี้มันท่วมหัวเจ้าของ ต้องเป็นงัวปากคอก พอข้าพเจ้าเปิดคอกก็ออกมาเลย เหมือนกับดอกบัวที่พ้นน้ำรอแสงอาทิตย์ พอแสงอาทิตย์ออกไป บานทันทีเลย ต้องการอย่างนั้น ไม่ต้องการจะไปหดหู่อยู่ก้น อยู่ก้นคอกให้เขาขี้ท่วมหัวไว้ ไปอวดดีว่าดีกว่าเขา เสมอต่ำ ต่ำกว่าเขาเสมอเขา อย่าเลย เลิกไปเลย อันนี้คือ เป็นการเชิญชวนให้จิตดวงเก่า ๆ เน่า ๆ มันออกมารับเอาจิตอันใหม่ ที่กล่าวนี่มันเป็น นว เด๊ะ เป็นนว นว มันแปลว่า ใหม่ นว นี่แปลว่า เก้า เก้าก็คือของใหม่ ก้าวไปเรื่อย ๆ เหมือนของใหม่ ถ้าไม่ก้าวไปเขาเรียกว่า เน่า นักเรียนที่ศึกษามา ทุกรูปน่ะนักเรียน แต่อย่าไปเรียนกระรอกกระร่อนตามปุถุชน ต้องเรียนตามอริยชนอันเป็นเสขะปฏิปทา  



เสขะปฏิปทาคือเป็นธรรมะยกยอดให้ชีวิตเนี่ยเป็นพระอริยเจ้า จากปฐมบทคือความล่วงหลุดออกครั้งแรกคือพระโสดาบัน พระโสดาบันควรจะแกะกล่องออกจากกาย ออกจากขี้สงสัย ออกจากความงมงายลูบหน้าลูบหลังให้มันได้ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรามาสออกไป คุณจะไม่ต้องมาอวดขี้ฟันขี้หูขี้ตาอีกเลย มันน่าเกลียด ขี้หูเป็นรา ขี้ตาเป็นกอบ ขี้มูกเป็นรส น้ำลายเป็นทะเลไม่มีจบ ขี้ลึก ๆ คือขี้โกรธขี้หลงอย่ามาอวดฉันเลย ข้าพเจ้าไม่พึงอยากได้เชื้อราอันนี้มาเป็นเชื้อไว้ พอรับรู้อย่างนี้ก็ค่อยศึกษาจากวันนี้ เพราะฉะนั้นในท้ายบทนี้ วันนี้ได้เปิดชุมนุมทางสามสายแก่ผู้สายเดียว ให้เลื่อม รู้จักทิศทางไป เลิก ออกจากอบาย ให้มาสู่ทางสบาย จากนี้ขณะนี้ไป เพราะอบายพวกเรามันนัวมาแล้วจนบอกว่าจะพูดกันไม่ได้ ให้ยกจิตออกจากอบาย ภาษากล่อมเกลาก็คือ ยกจิต ปิดอบาย นี้แหละ ยกจิตปิดอบาย ต่อไปค่อยหน่ายสังขาร ค่อยน้อมจิตสู่นิพพานด้วยญาณทัศนะ ให้มันสำเร็จประโยชน์ กะว่ารุ่นสิบเนี่ย มันเป็นรุ่นที่ข้าพเจ้าพึงหวงแหนที่จะถ่ายทอดให้กุลบุตรกุลธิดาออกจากมุมมืดให้มาสู่มุมสว่าง หวังมั่นใจว่า ศรัทธาของพวกท่าน กรรมดี ๆ ของพวกท่าน กิเลสทั้งหลายคงจะอภัย ท่านคงจะไม่เนรคุณพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นยอดมนุษย์ จะให้ความเคารพอันเป็นพี่เลี้ยงคือพระสงฆ์ ผู้นำสุภาษิตมากล่าวเกริ่น ขอจิตทั้งหลายจงดำเนินไปด้วยเสขะปฏิปทา คือหนทางสายเอก ที่จะเปลี่ยนภพภูมิ เปลี่ยนกายเปลี่ยนใจของท่านเข้าไปสู่ดินแดนของพุทธประทีปหรือพุทธภูมิหรือพุทธวงศ์หรือชินวงศ์ ให้ได้กลมกล่อมเกิดขึ้นในแดนศีลถิ่นธรรม นำวิมุติสูงสุดอมตะเป็นที่อยู่ของพระอริยะนี้โดยทั่วหน้ากันทุกคนทุกท่านเทอญ





หน้าเว็บ